1. อิฐแก้ว หรือ บล็อกแก้ว
2. คุณสมบัติพิเศษของบล็อกแก้ว
3. ขนาดของอิฐแก้ว
4. เทคนิคและกรรมวิธีในการติดตั้ง
5. การบำรุงและดูแลรักษา
6. การทดสอบคุณสมบัติบล็อกแก้ว
1. การยอมให้แสงผ่าน (Light Transmission)
แสงสว่างสามารถผ่านบล็อกแก้วได้ โดยระดับการยอมให้แสงสว่างผ่านขึ้นอยู่กับคุณภาพของเนื้อแก้วลวดลาย สีสัน และประเภทของบล็อกแก้ว เช่น บล็อกแก้วชนิด Transparent ยอมให้แสงสว่างผ่านได้ 75% ชนิด Non-Transparent ยอมให้แสงสว่างผ่านได้ 50-70% และชนิด Color ยอมให้แสงสว่างผ่านได้ 40%
2. การรับกำลังอัด (Compressive Strength)
บล็อกแก้วเกิดจากชิ้นแก้วที่มีความหนา จึงทำให้คุณภาพในการรับแรงอัด (Compression) ได้มากกว่า 7 Mpa. (7.14 ksc) ซึ่งมากกว่าอิฐมอญถึง 2.5 เท่า
3. การทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว (Thermal Insulation)
บล็อกแก้วได้รับการทดสอบให้แช่อยู่ในน้ำร้อนเป็นเวลา 12 นาที แล้วนำไปแช่ในน้ำเย็นในอุณหภูมิ
ต่างกัน 25 องศาเซลเซียสทันที นาน 1 นาที พอว่าบล็อกแก้วไม่เกิดการแตกร้าว และไม่เกิดการสูญเสีย
กำลังใดๆ
4. น้ำหนักเบา (Light Weight)
น้ำหนักโดยเฉลี่ยบล็อกแก้วอยู่ระหว่าง 60-80 กิโลกรัม/ตารางเมตร ซึ่งเบากว่าวัสดุก่อสร้างชนิดอื่น
ที่มีความทนทานใกล้เคียงกัน เช่น ผนังก่ออิฐ การทำความสะอาดบล็อกแก้วสามารถทำได้ง่าย เพียงเช็ดทำความสะอาดด้วยน้ำยาเช็ดกระจกหรือน้ำเปล่าเท่านั้น จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่ำไม่ต้องทาสีซ้ำเหมือนผนังชนิดอื่น
5. เป็นฉนวนป้องกันแสง (Sound Resisting)
จากกระบวนการผลิต ซึ่งจะมีการเชื่อมบล็อกแก้วเข้าด้วยกันขณะที่ยังร้อน เมื่อเย็นตัวลงภายใน
บล็อกแก้ว จะมีคุณสมบัติเป็นกึ่งสุญญากาศสามารถลดความดังของเสียงจากภายนอกได้ถึง 45 เดซิเบล
อิฐแก้ว หรือ บล็อกแก้ว เป็นชิ้นแก้วหนาทรงสี่เหลี่ยมที่ใสและโปร่งแสง สามารถนำมาใช้ติดตั้งเป็นผนังหรือพื้นได้หลากหลายรูปแบบทั้งภายในและภายนอกอาคาร เช่น ใช้เป็นช่องแสงบริเวณต่างๆ เป็นผนังกั้นระหว่างห้อง หรือตกแต่งรอบรั้วอาคาร เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ ได้แก่ การป้องกันเสียง
ไฟ ความร้อน ทนทาน ทำความสะอาดง่าย และยังให้ความสวยงามโดดเด่นอีกด้วย ที่สำคัญแสงสว่างที่ผ่านบล็อกแก้วเข้ามาภายในอาคาร ทำให้เราสามารถลดและประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้มากขึ้น
รูปแสดง บล็อกแล้วกันเสียง
6. เป็นฉนวนป้องกันความร้อน
ความร้อนจากแสงอาทิตย์เป็นปัจจัยสำคัญ เมื่อเทียบกับผนังบล็อกแก้วกับหน้าต่างที่จะติดกระจกธรรมดา พบว่าผนังบล็อกแก้วจะให้แสงที่นุ่มนวลโดยจำกัดความร้อนจากแสงอาทิตย์ โดยความร้อนจะสามารถผ่านเข้าได้เพียง 60% และจะไม่เกิดการสะสมความร้อนที่ตัวบล็อกแก้วเหมือนผนังอิฐมอญ อีกทั้งยังป้องกันไฟไหม้ได้ด้วย จากการทดลองคุณสมบัติการทนไฟตามมาตรฐาน DIN 4102 บล็อกแก้วจะมีคุณสมบัติป้องกันไฟใน ระดับ G 60 หรืออาจจะสูงถึง G 120
เหมาะสำหรับการก่อสร้างบ้านหรืออาคารทั่วไป สามารถใช้ตกแต่งได้ทุกบริเวณและรูปแบการตกแต่งที่ต้องการ โดยเฉพาะในบริเวณที่ต้องการแสงสว่างจากธรรมชาติ และสามารถใช้ตกแต่งประยุกต์ร่วมกับ
วัสดุก่อสร้างผนังชนิดอื่นได้
วิธีการก่อบล็อกแก้วมี 2 วิธี ได้แก่
1. การติดตั้งด้วยปูนกาว
2. การติดตั้งโดยใช้ซิลิโคน
วิธีซ่อมแซมผนังอิฐแก้วเฉพาะที่
ขั้นตอนที่ 1
ใช้เหล็กสกัดและค้อนเคาะอิฐแก้วที่แตกร้าวออกจากผนังรวมทั้งเศษปูนที่ติดอยู่โดยรอบ
ทั้งนี้ต้องระวังอย่าให้โดนก้อนข้างๆให้เกิดความเสียหายแล้วใช้แปรงปัดฝุ่นและแก้วให้สะอาด
รูปแสดงการสกัดอิฐแก้วที่แตกร้าวออกจากผนัง
ขั้นตอนที่ 2
ผสมปูนซีเมนต์เทา ปูนขาว และทราย ในอัตราส่วน 1 : 1 : 4 ใส่น้ำพอประมาณคลุกผสม
ให้เข้ากันจนปูนพอหมาดโบกปูนที่ขอบภายในช่องทั้ง3 ด้าน ยกเว้นด้านบน ให้มีความหนา
เท่าขอบปูนของเดิม
รูปแสดง โบกปูนที่ขอบอิฐแก้ว
ขั้นตอนที่ 3
ตักปูนใส่ขอบบนของอิฐแก้วก้อนใหม่ปาดปูนให้มีความหนาพอดีกับช่องค่อยๆ ใส่อิฐแก้วเข้าไปในช่อง โดยใช้เกรียงช่วยรองและดันอิฐแก้วเข้าแล้วจึงเคาะให้เข้าที่ในระนาบเดียวกับก้อนอื่นๆ
รูปแสดง ใส่อิฐแก้วเข้าไปในช่อง
ขั้นตอนที่ 4
ปาดปูนซีเมนต์ส่วนเกินออก โบกทับช่องว่างให้เต็ม และใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดเศษปูนที่ผิวแก้วให้ สะอาด ทิ้งไว้รอให้ปูนแห้งเซ้ทตัว 1 วัน จึงค่อยใช้ปูนยาแนวแต่งยาแนวของรอยต่อให้เหมือนเดิม
รูปแสดง ปาดปูนซีเมนต์ส่วนเกินออก
1. ทดสอบคุณสมบัติการยอมให้แสงผ่าน (Light Transmission)
พิจารณาว่าแสงสว่างสามารถผ่านบล็อกแก้วได้ โดยระดับการยอมให้แสงสว่างผ่านขึ้นอยู่กับคุณภาพของเนื้อแก้ว ลวดลาย สีสัน และประเภทของบล็อกแก้ว เช่น บล็อกแก้วชนิด Transparent ยอมให้แสงสว่างผ่านได้ 75% ชนิด Non-Transparent ยอมให้แสงสว่างผ่านได้ 50-70% และชนิด Color ยอมให้แสงสว่างผ่านได้ 40%
2. ทดสอบคุณสมบัติการรับกำลังอัด (Compressive Strength)
บล็อกแก้วเกิดจากชิ้นแก้วที่มีความหนา จึงทำให้คุณภาพในการรับแรงอัด (Compression) ได้มากกว่า 7 Mpa. (7.14 ksc) ซึ่งมากกว่าอิฐมอญถึง 2.5 เท่า
3. ทดสอบคุณสมบัติการทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว (Thermal Insulation)
บล็อกแก้วได้รับการทดสอบให้แช่อยู่ในน้ำร้อนเป็นเวลา 12 นาที แล้วนำไปแช่ในน้ำเย็นในอุณหภูมิต่างกัน 25 องศาเซลเซียสทันที นาน 1 นาที พบว่าบล็อกแก้วไม่เกิดการแตกร้าว และไม่เกิดการสูญเสียกำลังใดๆ
4. ทดสอบคุณสมบัติของน้ำหนัก
น้ำหนักโดยเฉลี่ยบล็อกแก้วอยู่ระหว่าง 60-80 กิโลกรัม/ตารางเมตร ซึ่งเบากว่าวัสดุก่อสร้าง
ชนิดอื่นที่มีความทนทานใกล้เคียงกัน เช่น ผนังก่ออิฐ